วันที่ 28 มิถุนายน 2562 -16:40 น.
"Exclusive"
หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกเป็นภาษาไทยเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2562 โดย Cannhealth
เขียน/แปล: วันดี กุศลธรรมรัตน์/ Wandee K.
เรียบเรียง : อภินันท์ อุ่นทินกร: /Apinan Untinkorn
Jim และ Jaclyn von Harz รู้สึกกังวลและหวาดกลัวว่าลูกสาววัย 3 ปี จะไม่รอดชีวิตจากการทำเคมีบำบัด ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปหากัญชาทางการแพทย์ เพื่อเป็นทางเลือกรักษาโรคมะเร็งของลูกสาวในเดือนกรกฎาคมปี 2014 Jim และJaclyn von Harz สองสามีภรรยาได้ทราบข่าวร้ายว่า Cecilia ลูกสาววัยเพียง 3 ปี ปอดด้านขวาเต็มไปด้วยเนื้องอกมะเร็ง
ร่างกายเล็กๆ ของเธอไม่มีเวลาเหลือมากพอหรือพร้อมที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้จากอาการเจ็บป่วยทำให้เธอผอมแห้งมากๆ Jim ให้ข้อมูลกับนิตยสาร PEOPLE “ผมเธอร่วงเยอะ น้ำหนักตัวลดลงมาก จนทำให้เธอมีน้ำหนักและเส้นผมเหลืออยู่ไม่มากนัก”เป็นเรื่องใหญ่มากที่จะทำให้ Cecilia รอดชีวิตจากการต่อสู้กับโรคมะเร็ง แต่นั่นก็เป็นเพียงหลังจากที่พ่อแม่ของเธอลองเสี่ยงทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขา
โดยการเลือกที่จะหยุดการรักษา Cecilia ด้วยเคมีบำบัด และหันไปหายากัญชาซึ่งยังมีขีดจำกัดในวงการแพทย์และนักวิจัยในช่วง 80 ปีที่ผ่านมาJaclyn คุณแม่วัย 35 ปี บอกว่า
“เมื่อลูกของคุณเจ็บป่วย คุณจะได้รับความรู้สึกตามสัญชาตญาณนี้ ฉันไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะได้ผล แต่ฉันรู้ว่าทางเลือกอื่นจะนำลูกสาวฉันไปสู่ความตาย”เส้นทางการรักษาทางการแพทย์ซึ่งสร้างความเจ็บปวดทั้งกายและใจแก่ครอบครัว von Harz พร้อมกับอีกหลายๆ ครอบครัวที่อยากให้ลูกอันเป็นที่รักมีชีวิตขณะต่อสู้กับโรคมะเร็ง มีการเล่าเรื่องราวเหล่านี้ใน “Weed The People” ภาพยนตร์สารคดีเรื่องใหม่จาก Ricki Lake อดีตพิธีกรรายการทอล์กโชว์ ที่มุ่งเน้นไปที่การใช้กัญชาทางการแพทย์รักษาโรคมะเร็งในเด็ก (เรื่องที่เกี่ยวข้อง: ผู้ปกครองหลายรายหันไปใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคมะเร็งเด็ก ชมเรื่องราวที่แชร์ประสบการณ์เหล่านี้ได้ในภาพยนตร์สารคดี Weed the People)หมายเหตุ : ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Weed The Pople สามารถหาชมได้ในขณะนี้ที่ Netflix

Dr. Bonni Goldstein กุมารแพทย์ในรัฐลอสแองเจลิส และผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดด้วยกัญชาซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับครอบครัว von Harz กล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์นอกกรอบอีกต่อไปแล้ว การศึกษาหลายๆ ชิ้นงานแสดงให้เห็นว่าพืชกัญชาสามารถช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งร่วมกับเคมีบำบัดและยังช่วยต่อสู้กับผลข้างเคียงของคีโมอีกด้วย”
Adds Lake ผู้ใช้เวลา 6 ปีในการทำงานเกี่ยวกับภาพยนตร์สารคดีร่วมกับผู้กำกับ Abby Epstein กล่าวว่า “กัญชา (ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Cannabis) จำเป็นต้องได้รับการยอมรับและเข้าใจว่าเป็นยารักษา (medicine) เรื่องนี้เป็น ปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ควรหยิบยกมาพิจารณา และทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงพืชนี้หากพวกเขาต้องการ”
แต่มีคนในวงการแพทย์จำนวนมากเริ่มเปิดรับการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งการยังคงถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายในบางรัฐของสหรัฐฯ แม้ว่าจะนำมาใช้เพื่อการแพทย์ รัฐบาลกลางได้กำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติด ประเภทที่ 1 ซึ่งหมายถึงยาที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะนำมาใช้ในทางที่ผิด ขณะเดียวกันสมาคมการแพทย์อเมริกัน (American Medical Association) ก็ยอมรับหลักฐานพอสมควรเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยากับผู้ป่วยโรคมะเร็ง พร้อมกับยืนยันว่ายังมีความจำเป็นสำหรับ
“การทดลองทางคลินิกที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์และต้องมีการ ควบคุมที่ดี…เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิผลของกัญชาที่ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์

พ่อแม่ของ Cecilia เริ่มใช้น้ำมันสกัดจากัญชาครั้งแรกในปริมาณไม่มากในการรักษาลูกสาว ทั้งนี้เพื่อบรรเทาผลกระทบของการทำเคมีบำบัดที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอหลังจากการผ่าตัดครั้งแรกในเดือนเมษายน 2013 เพื่อเอาเนื้องอกสองปอนด์ออกจากไตขวาของเธอ ในน้ำมันสกัดจากกัญชาประกอบไปด้วยสาร THC ซึ่งทำให้ให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้ม มึนเมา และสาร CBD ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีพิษแต่มีความทรงพลังและต้านการอักเสบได้ดี
Jaclyn จำได้ว่า แพทย์และพยาบาลต่างรู้สึกทึ่งและแปลกใจมาก Cecilia นอนหลับได้ตลอดช่วงการทำเคมีบำบัดของเธอ แต่ 11 เดือนต่อมา โรคมะเร็งกลับมาอีกและตรวจพบเนื้องอกจำนวนมากในปอดขวาของ Cecilia แพทย์เริ่มรักษาเธอด้วยการฉายรังสีและรูปแบบของเคมีบำบัดที่แรงมากขึ้นจนสร้างความเสียหายให้กับร่างกายที่อ่อนแอของเธอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับ พ่อแม่ของ Cecilia แน่ใจว่าการรักษาแบบนี้จะฆ่าลูกของพวกเขาก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
ด้วยเหตุดังกล่าวครอบครัว von Harzes จึงเลือกที่จะหยุดการรักษาด้วยเคมีบำบัด และปฏิบัติงานร่วมกับ Dr. Goldstein กุมารแพทย์ในรัฐลอสแองเจลิสและผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดด้วยกัญชาโดยการเริ่มให้น้ำมันสกัดกัญชา (THC and CBD oils) ในปริมาณที่สูงคือ 400 มิลลิกรัมต่อวันในการรักษา Cecilia
“เรากลัวความตาย แต่นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะช่วยลูกสาวของเรา” Jaclyn กล่าว
สามเดือนต่อมาในเดือนตุลาคม 2014 พวกเขาเริ่มเห็นผลลัพธ์ จากการสแกนพบว่าเนื้องอกของ Cecilia หายไปหรือหดตัวลงอย่างมาก และเธอไม่แสดงสัญญาณหรืออาการของโรคมะเร็งตั้งแต่นั้นมา
Dr. Goldstein กล่าวว่า “เราจะไม่มีทางรู้ว่ามันเป็นเพราะกัญชาหรือเปล่า หรือการทำเคมีบำบัด หรือว่าการทำงานร่วมกันของทั้งสองวิธี”
สิ่งที่สำคัญสำหรับครอบครัว von Harzes ก็คือ Cecilia อายุ 7 ปี ตอนนี้ กระปรี้กระเปร่าและมีสุขภาพดี และพวกเขามุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อให้เธอเป็นอย่างนั้นตลอดไป
Jim คุณพ่อวัย 37 ปี นักดับเพลิงรัฐลอสแองเจลิส กล่าวว่า “คุณไม่สามารถให้ราคากับชีวิตมนุษย์ได้ ผมเต็มใจที่จะทำลายกฎข้อบังคับใดๆ ยอมเสียสละชีวิตของตัวเองและอาชีพของผมเพื่อ Cecilia และผมพร้อมจะทำทั้งหมดให้เธอ อย่างทันทีทันโดยไม่ลังเลใจ
ข้อมูลข้างต้นมาจากนิตยสาร PEOPLE ในเดือนตุลาคม 2018 ปัจจุบันครอบครัว von Harzes ได้เปิดเฟซบุ๊กในชื่อ
“Cecilia Conquers Cancer” https://www.facebook.com/groups/Ceciliasfightingchance/